ขับต่อไปในวันที่ใจล่มสลาย: เส้นคู่ขนานของศิลปะและเวลาใน Drive My Car

Cineflections -
8 min readNov 15, 2021

--

“Art is the nearest thing to life; it is a mode of amplifying experience and extending our contact with our fellow-men from beyond the bounds of our personal lot. — George Elliot

“ศิลปะคือสิ่งที่ใกล้เคียงชีวิตมากที่สุด; ศิลปะเป็นแนวทางการตีแผ่ประสบการณ์และแพร่ขยายการสื่อสารของเรากับผองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อันเหนือซึ่งขอบเขตส่วนตัวของเราเอง — จอร์จ เอลเลียต”

เราเขียนเพราะเรารัก เพราะปักหลักไม่ยอมโยกย้ายหัวใจไปไหน

เพราะเคยรู้สึก จดจำ และเจ็บปวด

การหยิบอดีตปลายเปิดที่ค้างคาและความทรงจำเจือปนความรู้สึกมาเป็นแรงผลักดันในการถ่ายทอดหนึ่งตัวตนหรือมุมมองของตัวเองผ่านงานศิลปะย่อมเป็นการพนัน ที่เดิมพันด้วยการเสี่ยงความสึกหรอของหัวใจและความคิด

มุมหนึ่งของ Drive My Car (2021) โดยผู้กำกับ Ryusuke Hamaguchi (เรียวสุเกะ ฮามากูชิ) สะท้อนถึงการ ‘ยึดติดกับอดีต’ ในคุกแห่งความคิดของศิลปิน ผู้ยอมให้ความเคยชินในการผูกพันแนบแน่นระหว่าง ‘งานศิลป์’ และ ‘อดีต’ กักขังหน่วงเหนี่ยวเขาอย่างเรียบง่ายและแนบเนียน

ในฐานะนัก(อยาก)เขียนที่มักดึงประเด็น ถ้อยคำ และความรู้สึกจากอดีตที่ใจ(เคย)ผูกพันมาใช้ในงานของตัวเองเสมอ ประเด็นการก้าวผ่านการกักขังตัวเองในอดีตที่ผูกพันกับการแสดงออกตัวตนผ่านศิลปะจึงเด่นชัดในใจเรามากที่สุดจากหนัง

Drive My Car (2021) เป็น ‘การเดินทาง (journey)’ ของตัวเอกอย่างคาฟุกุจากอดีตมาปัจจุบันไปสู่อนาคต ที่ไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่ แต่เป็นการสลับสับเปลี่ยนเกียร์ของหัวใจภายในยานพาหนะปิดที่เปรียบเสมือนพื้นที่ส่วนตัวของการอยู่ระหว่าง ‘ภายใน’ ตัวเอง และ ‘ภายนอก’ กับสังคมคนแวดล้อม

จากการขับถอยย้อนหลังสู่อดีต จนค่อยๆ เดินหน้าเดินทางต่อ เรามาตามรอยเส้นทางของคาฟุกุว่าเขาเริ่มเลือกที่จะ ‘ปล่อย’ พวงมาลัยให้คนอื่นมา ‘ขับ’ ควบคุมรถและเริ่มก้าวต่อไปในชีวิตในแง่ใดบ้าง

ถ้าพร้อมแล้ว ก็สตาร์ทรถออกเดินทางไปด้วยกันเลยค่ะ!

Reverse Parking: ย้อนถอยเพื่อหยุดจอด

ตัวละครหลักแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘งานศิลป์’ และ ‘อดีต’ ในชีวิตของคาฟุกุคือ โอโตะ ภรรยาและศิลปินคู่ชีวิตของเขา ทั้งคู่เป็น ‘แหล่งเติมเต็ม’ ของกันและกันในการสร้างสรรค์งานศิลป์ในแบบของตัวเอง ทั้งการบรรจงถักทอเส้นเรื่องบทละครของโอโตะที่ควบคู่ไปกับการร่วมรักอย่างน่าพิศวง และการซ้อมบทในรถของคาฟุกุกับเสียงภรรยาจนเป็นกิจวัตร

นอกจากเรื่องสั้น Drive My Car ของมูราคามิซึ่งชื่อตรงตามตัวหนังแล้ว ฮามากูชิยังอ้างอิงบทหนังจากเรื่องสั้นอีกสองเรื่องในหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มเดียวกัน Men Without Women (2014): Scheherazade และ Kino

โดยในขณะที่เรื่องหลัง Kino ปูทางเกี่ยวกับคาฟุกุหลังการจากไปของโอโตะ เรื่องแรก Scheherazade นั้นกล่าวถึงผู้หญิงนิรนามผู้มักเล่าเรื่องสั้นเนื้อหาแหวกแนวและเหนือความคาดคิดให้คู่นอนของเธอฟังหลังหลับนอนกันเสมอ

“… because, he guessed, she enjoyed curling up in bed and talking to a man during those languid, intimate moments after making love.

เพราะเขาเดาว่าเธอคงชอบขดตัวในที่นอนและพูดคุยกับผู้ชาย ระหว่างช่วงเวลาเอื่อยเฉื่อยใกล้ชิดหลังจากร่วมรัก”

หนังเปิดฉากมาในเวลาที่รู้สึกเหมือนรุ่งสาง ชายหญิงสองคนที่นอนกอดก่ายกันบนเตียงในชั่วโมงแรกเริ่มอันว่างเปล่าของวันใหม่ แล้วโอโตะก็เริ่มเล่าเรื่อง

บรรยากาศของฉากนี้ทำให้นึกถึงคำนิยามของคาฟุกุที่ว่าภรรยาเขามักจะรู้สึก ‘สลึมสลือ — foggy’ ในตอนที่ตื่นจากภวังค์ยามแต่งเรื่องดีแล้ว เรื่องราวของโอโตะเหมือนเรื่องแต่งสดที่พรั่งพรูจากปากเธอระหว่างการค่อยๆพาตัวเองไปถึงจุดสุดยอดและการเรียบเรียงความคิดในหัวที่ว่างเปล่าไร้ความตึงเครียดทันทีหลังสำเร็จความใคร่

คนเรามีวิธี ‘ตั้งต้น’ จุดไฟความสร้างสรรค์ของตัวเองแตกต่างกันไป และการ ‘เคลียร์’ ความคิดหรือพาตัวเองไปสู่ที่ๆสามารถปลดปล่อยความสร้างสรรค์ของตัวเองอย่างไร้พันธนาการของโอโตะเป็นวิธีหนึ่งที่แปลกแตกต่างในลักษณะสไตล์ผู้หญิงของมูราคามิอย่างไม่ผิดแผกจากพวกเลย

(ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนเหงา สับสน มึนงง ผู้หญิงคนแปลกใหม่น่าพิศวง เซ็กส์ และการหายตัวไปของพวกเธออย่างลึกลับ แมวที่ปรากฏตัวโดยจะมีนัยยะสำคัญหรือไม่ก็ได้ ดนตรีคลาสสิก การสื่อความเป็นศิลปินในแง่ใดแง่หนึ่ง Drive My Car เก็บองค์ประกอบของความเป็นมูราคามิเท่าที่เราเคยสัมผัสได้เกือบทั้งหมด)

Scheherazade เป็นชื่อของมเหสีแห่งราชาในนิยาย 1,001 ราตรี ผู้เล่าเรื่องให้พระสวามีฟัง คืนแล้วคืนเล่าจนหลีกเลี่ยงโทษการถูกสั่งประหารในรุ่งเช้าได้ครบ 1,001 ตามชื่อเรื่อง ซึ่งเรื่องที่ Scheherazade เล่าขานล้วนสนุกพิศดารและเต็มไปด้วยตัวละครที่มีสีสัน บางคืนเรื่องจบลงด้วยการแง้มใบ้ว่ามีตอนต่อ (เช่นตำนานซินแบดกับการเดินทางครั้งที่สอง) จนราชาต้องขอรอฟังต่อในคืนถัดไป เช่นเดียวกับเรื่องเล่าของ Scheherazade ที่เล่าค้างเรื่องแลมป์เพรย์และการแอบลักลอบเข้าไปในห้องของเด็กหนุ่มที่แอบชอบในบางช่วงตอนของเรื่องสั้น

Scheherazade กลายเป็น ‘คำที่รู้กัน’ แทนการเล่าเรื่องระหว่างคนสองคนในพื้นที่ส่วนตัวเพื่อเก็บงำเรื่องเล่านี้ไว้ระหว่างผู้เล่าและผู้ฟังเท่านั้น (ทั้งในอีกเรื่องสั้น Especially Heinous โดยนักเขียน Carmen Maria Machado และในบทกลอนชื่อเดียวกันจากกวี Richard Siken ที่เรารัก)

“The other thing that puzzled him was the fact that their lovemaking and her storytelling were so closely linked, making it hard, if not impossible, to tell where one ended and the other began. He had never experienced anything like this before….

อีกสิ่งที่เขางุนงงคือการร่วมรักและการเล่าเรื่องของเธอนั้นข้องเกี่ยวกันอย่างแนบแน่น ทำให้ยาก แทบเป็นไปไม่ได้ ที่จะแยกแยะว่าสิ่งไหนเริ่มต้นและจบลงตรงไหน เขาไม่เคยประสบพบอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย….”

เมื่อหนังดำเนินเรื่องไปสักพัก คาฟุกุก็เล่าให้มิซากิ คนขับรถของเขา ฟังว่าหลังจากหมดไฟเพราะการจากไปของลูกสาว จู่ๆ วันหนึ่ง ภรรยาของเขาก็เริ่มแต่งเรื่องขึ้นหลังร่วมรัก ทำให้ไฟในการสร้างสรรค์งานดีๆและการร่วมรักหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างน่าประหลาด อันเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างการเปิดประตู ‘ทางผ่าน’ ของความคิด จินตนาการ ภาพฝัน ความกระวนกระวาย ความใคร่ ‘ส่วนตัว’ ในโอโตะ สู่พื้นที่ ‘ภายนอก’ ของเธอกับสามี

เราสะดุดใจกับคำพูดของคาฟุกุที่ว่าการเล่าเรื่องเช่นนั้นกลายเป็น ‘reality — ความเป็นจริง’ ของโอโตะ ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของวานย่า ใน Uncle Vanya (1898) ที่ว่า

VONITSKY: ….When one has no real life, one lives on illusions. It’s better than nothing.

โวนิตสกี้: …เมื่อเราไร้ซึ่งชีวิตจริง เรามีชีวิตด้วยภาพมายา ซึ่งดีกว่าไม่มีอะไรเลย

จากความเอื่อยเฉื่อยหมดสิ้นไฟไร้แรงในการดำเนินชีวิตต่อเพราะความตายของลูกสาว การเล่าเรื่องจากภาพในจินตนาการในสภาวะที่ร่างกายเพิ่งผ่าน ‘จุดตื่นตัว’ สูงสุดและสามารถโฟกัสสนใจจุดๆหนึ่งได้ชัดแจ้งเกินปกติธรรมดา ก็ทำให้โอโตะกลับมามีชีวิตชีวา เป็นอิสระจากความว่างเปล่าไร้หลักยึดเหนี่ยวของชีวิตอีกครั้ง

ในทางกลับกัน หลักเดียวที่คาฟุกุยึดเหนี่ยวเหนียวแน่นจนเป็นนิสัยคือการฝึกซ้อมบทละคร Uncle Vanya ในรถปี 1990s คันเล็กของเขา โดยพึ่งพิงเสียงของโอโตะในทุกบทบาทที่ไม่ใช่บทของตัวละครเอกวานย่า เขาจะพูดเพียงแต่บทของเขา และในเรื่องสั้น มูราคามิบรรยายว่าคาฟุกุนั้นจำบทได้ขึ้นใจ ‘by heart’ แต่เลือกที่จะซ้อมบทตามความเคยชินเวลาขับรถคนเดียว

รถยนต์สวีดิช Saab 900 จึงกลายเป็น ‘คุก’ ภายนอกที่กักขังคาฟุกุอยู่กับอดีตของเขา ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยที่เราประทับใจมากจากหนัง ก่อนที่จะไปเจอบทสัมภาษณ์ของฮามากูชิ จาก New York Film Festival (NYFF) ที่ว่า

“…to directly express that the past has had a great influence, if this was his wife’s voice, he could express it directly, he was still trapped in the past, and it makes sense that he didn’t want to get out of the car. So I added it because I thought it would be an expression that Kafuku didn’t want to do.

เพื่อสื่อว่าอดีตยังคงทรงอิทธิพล ถ้าเป็นเสียงของภรรยาเขา เราจะสามารถสื่อโดยตรงได้ว่าเขายังถูกกักขังในอดีต และมันเมคเซ้นส์ที่เขาไม่อยากออกจากรถ ผมเติมมันไปเพราะคิดว่าเป็นการแสดงออกที่คาฟุกุไม่อยากทำ”

แน่นอนว่าการเป็นตกเป็นทาสของความคิด จมอยู่ในวังวนล่องหนที่สร้างขึ้นเองเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับศิลปินผู้ใช้ความคิดเป็นหนึ่งอาวุธในการสร้างสรรค์ผลงาน

คาฟุกุใช้เสียงของภรรยาคนเดิมในรถคันเดิม ขับเคลื่อนความคิดและชีวิตของตัวเองมาตลอดสองปีหลังหล่อนจากไป สมัครใจตรึงตัวเองอยู่กับที่เดียวในรถที่เคลื่อนไปข้างหน้า เพราะสไตล์การดำรงชีวิตต่องานศิลป์เช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขา เป็น muscle memory ไปเสียแล้ว

เขายึดติดกับรถโดยส่วนตัว ‘personally attached’ ในเรื่องสั้น และเราอาจคาดเดาได้ว่าเขาปิดกั้นตัวเองจากการเผชิญหน้าความรู้สึกที่ต้องเจ็บปวดเพื่อเดินต่อโดยตรง คล้ายๆกับคำสารภาพของทาคัตซึกิช่วงท้ายของเรื่อง ว่าการปิดกั้นตัวเองจากความรู้สึกใดๆกลับทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าในก้นบึ้งของหัวใจ

ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง Based on a True Story จากอัลบั้ม Epik High Is Here (2021) ของวงแรปเกาหลี Epik High กล่าวถึงความหวาดกลัวที่จะ ‘รู้สึก’ ความรู้สึกแท้จริงของตัวเอง

To tell you the truth, I’m scared

To feel anything that is entirely mine

Even a loose strand of emotion must be cut off

Because I know that even with one pull

I’m a ball of thread that will fall apart

— — — — — — — — — — -

Though we are over

I see you in everything

And you keep holding me back from escaping

ขอสารภาพความจริงว่าฉันกลัว

ที่จะรู้สึกความรู้สึกของฉันทั้งหมด

ถึงจะเป็นเพียงเส้นด้ายอารมณ์หลุดลุ่ยเส้นหนึ่งก็ต้องตัดทิ้ง

เพราะฉันรู้ว่าแค่ดึงครั้งเดียว

ฉันก็เป็นก้อนด้ายที่พร้อมจะพังกระจัดกระจาย

— — — — — — — — — — — — — -

เราจบกันแล้ว

แต่ฉันยังเห็นเธอในทุกสิ่ง

และเธอยังคงกักขังฉันไว้ไม่ให้หนีไป

Epik High และ Heize

เหมือนที่ผู้ร้องแทนตัวเองว่าเป็นก้อนเส้นด้ายที่เปราะบาง ตัวคาฟุกุก็ใช้คำอุปมาอุปมัยเปรียบการเล่าเรื่องของโอโตะกับการถักทอเส้นด้าย และเส้นด้ายนี้เอง ไม่ต่างจากเส้นด้ายผูกรัดใน Phantom Thread ที่ผูกใจเขาไว้ไม่ให้ไปไหนจากเสียงในเทปของรถคันนั้น

ตัวชื่อเพลง Based on a True Story เล่นกับสำนวนที่มักใช้กับเรื่องแต่งที่ ‘สร้างจากเรื่องจริง’ สอดคล้องกับเนื้อหาเกี่ยวกับการรู้สึกประทับใจหรือ ‘อิน’ ของผู้เสพสื่อศิลป์เพราะสามารถสัมผัสเหตุการณ์ชีวิต(อกหัก)ที่ผ่านมาในงานศิลปะที่กำลังเสพ เหมือนเห็นตัวเองและสามารถแทนที่ความรู้สึกของตัวเองด้วยความรู้สึกในสื่อ ที่ราวสร้างมาจากเรื่องจริงของตัวเอง

เราตัดสินใจเขียนบทความนี้เพราะสะดุดใจกับต้นไม้กลางเวทีละครของคาฟุกุ

ต้นไม้ เชือก และผู้ชายสองคนที่จะเป็นบทละครอื่นไปไม่ได้นอกจาก Waiting for Godot (1955) ของ Samuel Beckett ซามูเอล เบคเก็ตต์ บทละครที่มีชื่อและเป็นตัวอย่างอันดับต้นๆของปรัชญาอัตถิภาวนิยม existentialism หรือการตั้งคำถามของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ที่สุดท้ายก็ต้องตายจากไปอยู่ดี

ถึงจะไม่มีการกล่าวถึง Waiting for Godot ในเรื่องสั้นที่คาฟุกุเป็นนักแสดงอย่างเดียว (ไม่ได้ขยายบทบาทเป็นผู้กำกับด้วยแบบในหนัง) ฉากที่ปรากฎบนเวทีคือฉากจบขององก์หนึ่ง ตัวละครทั้งสองกำลังถกกันเรื่อง ‘การแยกทาง’ เดินถนนกันคนละเส้นแล้วล้มเลิกการตัดสินใจก่อนจะชวนกันเดินทางต่อ หากจบที่นั่งนิ่งอยู่กับที่เช่นเดิม

ESTRAGON: I wonder if we wouldn’t have been better off alone, each one for himself….We weren’t made for the same road.

VLADIMIR: [Without anger.] It’s not certain.

ESTRAGON: No, nothing is certain.

VLADIMIR: We can still part, if you think it would be better.

ESTRAGON: It’s not worth while now.

[Silence]

VLADIMIR: No, it’s not worth while now.

[Silence]

ESTRAGON: Well, shall we go?

VLADIMIR: Yes, let’s go.

[They do not move.]

CURTAIN.

เอสตรากอน: ข้าสงสัยว่าอาจจะดีกว่าถ้าเราต่างคนต่างอยู่ อยู่เพื่อตัวเอง…. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเดินทางเส้นเดียวกัน

วลาดิเมีย: [ไร้ซึ่งความโกรธ] มันไม่แน่นอน

เอสตรากอน: ไม่ ไม่มีอะไรแน่นอน

วลาดิเมีย: เราแยกกันได้นะ ถ้าเจ้าคิดว่ามันดีกว่า

เอสตรากอน: มันไม่คุ้มหรอก

[ความเงียบ]

วลาดิเมีย: ไม่ มันไม่คุ้มหรอก

[ความเงียบ]

เอสตรากอน: เอาล่ะ ไปกันไหม

วลาดิเมีย: ใช่ ไปสิ

[ทั้งสองไม่ขยับตัว]

บทละครของเบคเก็ตต์โดดเด่นในการโต้ตอบที่น่าติดตามของตัวละครทั้งสองทั้งที่ทั้งเรื่องไม่มีเหตุการณ์อะไรมากนัก ทั้งสองรอคอยตัวละครที่ไม่เคยปรากฏตัว และพูดคุยถกเถียงกันไปมา ไม่มีใครผ่านมามากมาย ไม่มีเหตุการณ์หวือหวา หรือการหักมุมฉับพลันของเรื่องราวเรียบง่าย คล้ายๆกับชีวิตประจำวันธรรมดาที่มักวนลูปอยู่เช่นนั้น

คำสงสัยของเอสตรากอน อาจตีความได้ว่าเป็นทั้งการถกเถียงในใจของตัวเองกับความคิดของคาฟุกุกับการขับรถคันเดิมต่อไป และการอนุญาตให้มิซากิเป็นทั้งคนขับและเพื่อนร่วมทางของเขา แต่ก็เหมือนกับสัจธรรมในชีวิตจริงอีกที่ไม่มีอะไรแน่นอน (เห็นชัดจากการย้ำโดยทั้งสองตัวละคร) คาฟุกุและมิซากิค่อยๆ เปิดใจให้กันในแบบของตัวเอง

แต่จุดหนึ่งที่สื่อถึงเสน่ห์ของบทละครสะท้อนปรัชญาอัตถิภาวนิยม existentialism คือการอยู่เฉย inaction หลังชวนกันออกเดิน เป็นช่วงสั้นๆของบทที่สะท้อนความไร้แก่นสาร absurd ของชีวิต คนเราอาจตั้งใจตกลงเสียดิบดีว่าจะทำอะไรสักอย่าง และเปลี่ยนใจไม่ทำ หรือไม่ ‘เปลี่ยนตัวเอง’ จากเดิม โดยไม่มีเหตุผลก็เป็นได้

Neutral: อยู่นิ่งเพื่อเตรียมก้าวเดิน

เมื่อค้นคว้าเรื่องเชคอฟเพิ่มเติมจากหนังสือรวมบทละคร เราก็พบบทนำจาก Robert Brunstein (1964) โรเบิร์ต บรูนสไตน์ ที่กล่าวถึงจุดเด่นของบทละครเชคอฟ:

การชักใยความเปราะบางของมนุษย์อย่างมีทักษะ ภายใต้พื้นผิวของความเป็นอยู่อย่างสงบเงียบ (“Placid surface of existence as masking device for controlled manipulation of human fatality.”)

Anton Chekov (1860–1904)

เชคอฟเขียนถึงบทละครของเขาว่า:

“Let the things that happen on stage,” he writes, “be just as complex and yet just as simple as they are in life. For instance, people are having a meal at the table, just having a meal, but at the same time their happiness is being created, or their lives are being smashed up.

“จงให้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนเวที” เขาเขียน “มีความซับซ้อนหากเรียบง่ายเฉกเช่นในชีวิตจริง ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนกำลังรับประทานอาหาร แต่ในขณะเดียวกัน ความสุขของพวกเขาค่อยๆก่อตัว หรือชีวิตพวกเขากำลังแตกสลาย”

บทละครของเชคอฟสะท้อนความเนิบนาบเรียบง่ายบนพื้นผิวของชีวิตจริง ในทุกเหตุการณ์และทุกคนที่เราพบเจอ ต่างคนต่างเหตุการณ์ล้วนมีอารมณ์ ความรู้สึก และเบื้องลึกเบื้องหลังในโลกของตัวเองที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ใต้พื้นผิวสงบนิ่งที่เห็นอาจมีพายุกรรโชกแรงซ่อนอยู่ ซึ่งเราคิดว่าฮามากูชิสื่อบรรยากาศนี้ผ่านตัวหนังได้อย่างน่าจดจำ ถึงจะเป็นทุกวันที่เหมือนไม่มีอะไร แต่เราสัมผัสได้ว่าคาฟุกุค่อยๆเคลื่อนย้ายตัวเองจากอดีตที่ละน้อย

“I feel that Chekhov and Murakami share a certain universality in their choice of words. They pull words out of somewhere very deep inside.

ผมคิดว่าทั้งเชคอฟและมูราคามิมีการเลือกใช้คำที่เป็นสากล พวกเขาดึงคำมาจากส่วนลึกที่ใดสักแห่ง”

ฮามากูชิกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Kinoscope คำเดียวกับที่คาฟุกุกล่าวกับทาคัตซึกิว่าการอ่านและแสดงถ้อยคำของเชคอฟสามารถแสดงตัวตนลึกๆของคนๆนั้นได้ ด้วยพลังและอิทธิพลของคำเหล่านั้น

และการแสดงยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกลั่นกรองและแสดงออกเพื่อสื่อถึง ‘ตัวละครในเรื่องที่แต่งขึ้น’ จาก ‘ภายใน’ ใจของคนๆหนึ่ง สู่สายตาคน ‘ภายนอก’

หนังแยกการแสดงออกเป็นสองแบบ ทั้งการแสดงของคาฟุกุต่อภรรยาว่าไม่รับรู้การนอกใจของเธอ และการแสดงละครเวที อย่างแรกเป็นการแสดงที่ไร้ผู้ชม ออกจะเป็นการเสแสร้งตบตาตัวเองและภรรยา ด้วยการสละทิ้งทั้งตัวตน และเลือดเนื้อ อย่างทุ่มสุดตัว ‘…shedding his flesh and blood…. with all his might.”

เมื่อภายหลัง มิซากิในเรื่องสั้นตั้งคำถามในเรื่องที่คาฟุกุไปดื่มกับทาคัตซึกิ เธอก็ได้รับคำตอบว่าเขากำลังแสดงต่อหน้าผู้ชมหนึ่งคน หรือทาคัตซึกินั่นเอง

“It wasn’t easy,” Kafuku said, “It made me think things I would prefer to have ignored. Remember things I would rather have forgotten. But I was acting. That is my profession, after all.”

“Becoming somebody different,” Misaki said.

“That’s right.”

“And then going back to who you are.”

“That’s right,” Kafuku said, “Whether you want to or not. But the place you return to is always slightly different from the place you left. That’s the rule. It can never be exactly the same.”

“มันไม่ง่ายหรอก” คาฟุกุกล่าว “มันทำให้ผมคิดถึงสิ่งที่ผมไม่ต้องการจะสนใจ จดจำสิ่งที่ผมต้องการจะลืมเลือน แต่ผมก็กำลังแสดงอยู่ เพราะนั่นคืออาชีพของผมยังไงล่ะ”

“กำลังกลายเป็นคนอีกคน” มิซากิพูด

“ถูกต้อง”

“และกลับไปเป็นคุณคนเดิม”

“ถูกต้อง” คาฟุกุกล่าว “ถึงจะอยากหรือไม่ก็ตาม แต่ที่ๆคุณกลับไปจะแตกต่างจากที่ๆคุณจากมาเล็กน้อยตลอด นั่นคือกฎ ทั้งสองที่ไม่สามารถเหมือนกันเป๊ะๆได้”

นอกจากจะเป็นการสื่อความคิดจาก ‘ภายใน’ สู่ ‘ภายนอก’ การแสดง ในความคิดของคาฟุกุ เป็นการ ‘เดินทาง’ เช่นในรถยนต์ จากที่ๆเคยเป็นสู่อีกที่หนึ่ง และกลับไปในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม คล้ายการเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ว่าในทางจิตใจ ความคิด หรือร่างกายของคนเรา หลังจากการเดินทางสู่อีกที่หนึ่งแล้วกลับมาสู่ที่เดิม

ในบทสนทนาปิดเรื่องสั้น มิซากิและคาฟุกุยังเห็นตรงกันว่า ‘ทุกคน’ ล้วนแต่เป็นนักแสดงเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปในทุกวัน

“To me, it’s a kind of sickness. Thinking about it doesn’t do much good. The way my father walked out on my mother and me, my mother’s constant abuse — I blame the sickness for all these things. There’s no logic involved. All I can do is accept what they did and try to get on with my life.”

“So then we’re all actors,” Kafuku said.

“Yes, I think that’s true. To a point, anyway.”

“สำหรับฉัน มันเป็นการป่วยชนิดหนึ่ง คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ที่พ่อทิ้งฉันกับแม่ไป แม่ที่ทำร้ายฉันเสมอ — ฉันโทษทุกสิ่งว่าเป็นเพราะการป่วยหมดแหละ ไม่เกี่ยวกับตรรกะอะไรเลย ฉันทำได้แค่ยอมรับต่อสิ่งที่พวกเขาทำ และพยายามที่ใช้ชีวิตต่อไป”

“อย่างนั้นเราก็เป็นนักแสดงกันหมด” คาฟุกุกล่าว

“ใช่ ฉันคิดว่าจริง ถึงจุดนึงน่ะนะ”

สุภาษิตญี่ปุ่น The 3 Faces Theory ทฤษฎีสามหน้า กล่าวว่าคนเรามี ‘หน้า’ ที่แสดงต่อคนอื่นอยู่สามประเภท หน้าแรกคือหน้าที่เราเผยต่อโลกภายนอก เปี่ยมด้วยชั้นเชิงและสมบูรณ์แบบ หน้าที่สองคือหน้าที่เราแสดงต่อครอบครัวและผองเพื่อน เสมือนจริงแต่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง และหน้าที่สุดท้ายคือหน้าที่เราซ่อนเร้นจากทุกคน ไม่เคยเผยให้ใครเห็น และนับเป็นหน้าที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเรา

‘การแสดง’ ในบทสนทนาของมิซากิและคาฟุกุนั้นกล่าวถึง ‘การแสดง’ เตรียมตัวจากภายในหรือหน้าที่สาม เพื่อเผยหน้าแรกและหน้าที่สองกับโลกและคนรอบข้าง โดยซ่อนปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ เพื่อความราบรื่นในการใช้ชีวิตต่อ

หากคนเราเปิดเผยทุกอย่างทุกความคิดจนหมดเปลือก (ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก) การใช้ชีวิตกับคนอื่น การรักษาความสัมพันธ์ทั้งหลายที่มีอยู่ และการ ‘อยู่กับตัวเอง’ หรือความคิดและการเป็นตัวเองต่อการแสดงออกในทุกๆวัน คงไม่ราบรื่นอย่างที่ควรเป็น

Drive: ขับไว้เพื่อไปต่อ

นักเขียนชาวรัสเซีย Joseph Brodsky โจเซฟ โบรดสกี้ เขียนในเรียงความ A Cat’s Meow (1995) ของเขาว่า

Because human beings are finite, their system of causality is linear, which is to say, self-referential.

เพราะการเป็นมนุษย์มีขีดจำกัด ระบบความเป็นเหตุเป็นผลจึงเป็นเส้นตรง หรือเรียกได้ว่า การอ้างอิงถึงตัวเอง

เช่นเดียวกับการขับรถเดินทางเป็นเส้นตรง การเกิดขึ้น คลี่คลาย และหายไปตามกาลเวลาของเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตนั้นสามารถร้อยเรียงเป็นเส้นตรงอย่างเส้นเวลา timeline ไทม์ไลน์ หรือเส้นพล๊อตเรื่อง plotline ได้

เมื่อเรากล่าวถึงอดีต เรากำลังอ้างอิงกลับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นห่างออกไปทางซ้ายของเส้นกาลเวลา ถึงสิ่งที่เราขับรถผ่านมาแล้วเห็นเป็นจุดเล็กๆในระยะไกลๆจากกระจกมองหลัง

เมื่อเรากล่าวถึงอนาคต เรากำลังอ้างอิงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นห่างออกไปทางขวาของเส้นกาลเวลา ถึงการมองไปที่ถนน รถยนต์ และการเคลื่อนไหวข้างหน้าจากกระจกหน้าและซ้ายขวารอบตัว

ฮามากูชิให้สัมภาษณ์กับ Film Magazine อีกว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินชาวอิหร่าน Kiarostami เคียอาโรสตามิ ผู้สร้างหนังที่เต็มไปด้วยฉากโดดเด่นเพราะคนขับและสิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในขณะเดียวกันกับที่ความสัมพันธ์ของตัวละครก็เปลี่ยนแปลงด้วย

Kiarostami

เขามองการฉากเช่นนี้เป็นการรวบย่อสังเขปชีวิต คล้ายกับฉากยานพาหนะต่างๆของผู้กำกับ Wim Wenders วิม เวนเดอร์ส ที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปพร้อมๆกับความสัมพันธ์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึงพัฒนาการของบางอย่าง

Wim Wenders

ฉากหนึ่งที่ตรึงใจเรามากจากหนังคือบทพูดเดี่ยวของทาคัตสึกิในรถที่กำลังเคลื่อนไหว ฉากหลังแห่งแสงสีของชายหนุ่มกำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขณะกล้องจับสีหน้าและสายตาของเขาที่ค่อยๆแปรผันไปตามอารมณ์ที่มีต่อถ้อยคำที่กำลังถ่ายทอดเรื่องอันทรมานใจออกมาให้คาฟุกุรับฟัง

มาซากิ โอคาดะแสดงฉากนี้ออกมาได้ละเอียดอ่อนและสวยงาม เขาค่อยๆเผยอารมณ์ที่ละนิดอย่างเป็นธรรมชาติ จนเรารู้สึกถึงความรู้สึกที่เขากำลังสื่อในบทบาททาคัตซึกิ และการ build up สร้างอารมณ์ทีละนิดจนไปถึงประโยคสุดท้าย

ในเรื่องสั้น มูราคามิบรรยายถึงบทพูดของทาคัตซึกิว่า “เสมือนปรากฎจากส่วนลึกภายในเขา — seemed to have emerged from deep within him” ฮามากูชิจึงขยายความว่าตัวละครทาคัตซึกิกำลังพูดถึงสิ่งที่เขาเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ เราอาจได้ยินผู้คนพูดสิ่งที่มาจากใจจริงเช่นนี้ในประสบการณ์จริงของเรา

การแสดงออกของทาคัตซึกินั้นเป็นโมเม้นต์ที่ ‘ปากตรงกับใจ’ หรือการ ‘แสดงสิ่งที่รู้สึกออกมา act how you feel’ ตรงกับคำนิยามการแสดงเมื่อการท่องบทกลายเป็นความเคยชินของ Sonia Yuan โซเนีย หยวน (แจนิซ) ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ ณ​ เทศกาลหนังคานส์

ฮามากูชิกล่าวว่าในฉากนี้เอง ผู้ชมจะสัมผัสถึงวินาทีที่ ‘หน้ากาก’ หนึ่งที่คาฟุกุเคยสวมใส่แตกหักลงเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งอาจเป็นอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ในชีวิตเราเช่นกัน หรือเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเรารับรู้อะไรสักอย่างที่เคยคิดว่ารู้ความจริงแท้แน่ชัดเกี่ยวกับมันมาโดยตลอด

Coda: หันมองเส้นทางที่(ขับ)ผ่านมา

ในท่อนสร้อย refrain ของไตเติ้ลแทรค Rock With You จาก Attacca (2021) มินิอัลบั้มลำดับที่เก้า โดยวงบอยแบนด์เกาหลี 세븐틴 (SEVENTEEN) เนื้อเพลงกล่างถึงการ ‘สื่อ’ อารมณ์ความรู้สึกของผู้ร้องต่อ ‘คุณ’ คนที่ผู้ร้องมีความรู้สึกล้นเหลือต่อจนไม่อาจสื่อเป็นถ้อยคำได้

No words are enough for you

Want to write it lyrical

So let me read and write my emotions through you

ไม่มีคำใดเพียงพอสำหรับคุณ

ผมน่ะอยากร้อยเรียงเป็นบทกลอน

ขอผมอ่านและขีดเขียนอารมณ์ของผมผ่านคุณเถอะนะ

ตามที่เกริ่นไว้ในบทนำ ผลงานศิลปะ เช่นการแต่งเรื่อง แสดงละคร ขับร้อง เล่นดนตรี ล้วนเป็นการแสดงออกเพื่อสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึก passion อันแรงกล้าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และโดยเฉพาะคนๆหนึ่ง

เรารู้สึกกับเขาอย่างไร รุนแรงมากแค่ไหน และฝังใจหรือประทับใจกับความสัมพันธ์มากน้อยเพียงใด ศิลปะ (และในที่นี้งานเขียนของเรา การแต่งเรื่องของโอโตะ การซ้อมบทกับเสียงโอโตะของคาฟุกุ และการแสดงละครชีวิตของเขา) เป็นผลงานจากในจาก ‘ภายใน’ ความคิดของเราที่สามารถจับต้องได้ในสายตาโลก ‘ภายนอก’

และการร้องเพลงร็อคจังหวะรัวเร็วเพื่อบอกคนๆหนึ่งว่าถ้อยคำธรรมดาไม่อาจแทนความรู้สึกถึงคุณ จนต้องพึ่งความสวยงามแยบยลที่ศิลปะเท่านั้นจะทำได้ สื่อถึงสเกลความรุนแรงของความรู้สึกที่มีต่อ ‘คุณ’ คนนั้นจริงๆ

attaca ในชีทเพลง piano sonata op.13 in C minor ของ Beethoven

ชื่อของอัลบั้มอย่าง Attacca ยังหมายถึงการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว (ศัพท์เฉพาะในดนตรีเพื่อสื่อการเล่นต่อไปโดยไม่หยุดพัก) และสื่อถึงการเดินหน้าต่อไป forward movement อย่างไม่หยุดยั้งของวงเซเว่นทีน ผู้เป็นส่วนสำคัญในการเติมพลัง ให้ความสดใสในการเดินหน้าต่อไปในทุกๆวันของเรา ทำให้สามารถก้าวผ่านอดีตสีหม่นที่เคยเป็นเงาตามในผลงานเรื่องแต่ง fiction ระหว่างสองสามปีที่ผ่านมา (ระยะเวลาไม่ต่างกับคาฟุกุหลังองค์แรกของหนัง)

ศิลปะที่ดีและเปี่ยมด้วยคุณค่า เช่นหนังและบทเพลงที่อ้างอิงถึง จะไม่ทำแค่หน้าที่สื่อความหมายและพลังจาก ‘ภายใน’ สู่ ‘ภายนอก’ ให้ผู้เสพศิลป์ประทับใจ แต่ยังสร้างและส่งพลังจาก ‘ภายนอก’ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อน ‘ภายใน’ ทั้งหัวใจ ความคิด และร่างกายให้กล้าที่จะขับรถคันนี้ที่เรียกว่า ‘ตัวเรา’ ในการลุยเส้นทางของชีวิตต่อไป

ป.ล. สำหรับใครที่ยังสงสัยเรื่อง coda ฉากจบสั้นๆของหนัง ฮามากูชิกระซิบว่าคำใบ้อยู่ในชื่อเรื่องค่ะ :)

— — — -

ขอบคุณรูปส่วนหนึ่งจากเพจ House Samyan

ขอบคุณที่สนใจอ่านนะคะ ❤

คิดเห็น ชอบไม่ชอบยังไง รบกวนกดด้านล่างให้เรารู้ จะได้ปรับปรุงบทความต่อๆไปให้ดีขึ้นค่ะ

ติชม พูดคุยกับเราทางเม้นท์ข้างล่างได้เสมอ

หรือจะแวะมาทาง twitter: @cineflectionsx

หากชอบบทความ ฝากเพจ FB ด้วยนะคะ เราจะมาอัพเดทความคิด บทเรียน และเรื่องราวจากหนังที่ชอบทั้งเก่าและใหม่เรื่อยๆค่ะ

x

ข้าวเอง.

--

--

Responses (1)