ค้นกอง(สัม)ภาระในใจ: ไขตู้แห่งความทรงจำใน The Broken Hearts Gallery

Cineflections -
3 min readNov 29, 2020

--

“The glass filled with memories is more bitter as I drink it

But I think I know why I keep drinking it.”

“แก้วแห่งความทรงจำขมขื่นขึ้นเมื่อดื่มต่อ

แต่ฉันรู้ว่าทำไมฉันถึงดื่มไม่หยุด”

— Coffee (2013), Bangtan Sonyeondan

เพราะสัมภาระ’ ทางใจและในความคิดนั้นจัดการยากกว่าสัมภาระที่สัมผัสได้

มีหลักฐานจากบทวิจัยตั้งแต่ปี 2007 แน่ชัดแล้วว่าคนเรามักจดจำเหตุการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ด้านลบได้ชัดเจนและละเอียดกว่าด้านบวก (เคนซิงเกอร์ Kensinger, Current Directions in Psychological Science) ด้วยสันนิฐานว่าเกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอดของมนุษย์เพื่อช่วยในการปรับตัวและปกป้องตัวเองจากเหตุการณ์ใกล้เคียงที่(อาจ)มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

การทำงานของอะมิกดาล่า (Amygdala Activity) กลุ่มเซลล์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนอารมณ์สูงกว่าสำหรับอารมณ์ลบเทียบกับอารมณ์บวก (Kensinger & Schacter, 2008)

และเพราะ ‘อารมณ์’ มีผลต่อ ‘สมอง’ เพลงหวานละมุนสอดไส้ความอกหักเพราะยังรักมากมายอย่าง Coffee (BTS) จึงกล่าวถึงการคิดถึง ‘คนในความทรงจำที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า’ เพราะใจที่ยังไม่ยอมปล่อยเขาไป แม้จะรู้สาเหตุหรือไม่ก็ตามนั่นเอง

เช่นเดียวกับนางเอกของเราอย่าง ลูซี่ (Lucy, Geraldine Viswanathan) ผู้ช่วยงานในแกลลอรี่อินดี้แห่งหนึ่งในนิวยอร์กระหว่างเส้นทางสู่ฝันการเป็นภัณฑารักษ์ของเธอ ลูซี่มีปมด้าน ‘ความทรงจำ’ ในใจ เพราะกลัวว่าสักวันตัวเองจะลืมความสัมพันธ์และคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเหมือนแม่ที่เป็นโรคสมองเสื่อม เธอจึงกลายเป็น ‘นักสะสม’ ตัวยงที่เก็บ (หรือจะเรียกภาษาอังกฤษได้ว่า hoard กักตุน) ทุกสิ่งที่กระตุ้นความทรงจำของเธอเกี่ยวกับทุกความรักที่เกิดขึ้นและจบไป

ลูซี่กับแม่ของเธอ

หนังสะท้อนลักษณะนิสัย ‘การช่างเก็บ’ ของลูซี่ในเพลง ‘ช่างจำ’ ที่เปิดตัวฉากแรกอย่างเหมาะเจาะ: I Remember (2019, Betty Who เพลงของศิลปินเควียร์ชาวออสเตรเลียที่เราเคยฟังติดหูอยู่ช่วงหนึ่ง)

I remember (2019)— Betty Who

เพลงกล่าวถึงคุณค่าในการจดจำความสัมพันธ์ที่ ‘คุ้มค่าเหนื่อย’ (And sometimes I wonder why we have to work this hard/But here we are) เพราะจะไม่มีใครรักเราเหมือนเขาอีกแล้ว (I remember nobody loves me like you do) และแน่นอนว่าจะไม่ยอมปล่อยรักกับเธอคนที่ใช่นี้ไป (You know you’re the only one….I remember your love, oh/Never giving you up)

ลูซี่กับนิค

จนกระทั่งลูซี่พบนิค (Nick, Dacre Montgomery รับบทคนละแนวจาก Stranger Things) คนขับอูเบอร์จำเป็นที่เข้ามาในชีวิตเธออย่างงงๆในคืนที่เธออกหัก และบอกเธอว่า “You can’t have a good relationship ’cause you’re constantly mourning the old one — เธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้หรอกนะ ถ้ายังมัวแต่พะวงเรื่องความสัมพันธ์เก่า” คล้ายๆ กับคอนเซ็ปท์ในหนังของพี่เต๋อ นวพล (Happy Old Year (2019) ฮาวทูทิ้ง) และ ‘ตู้สมมติแห่งความทรงจำและปัญหา’ ระหว่างพ่อกับแม่ของพระเอกใน Little Manhattan (2005, dir. Mark Levin)

เป็นไปได้ยากที่จะมูฟออนหรือเติมสิ่งใหม่เข้าไปในพื้นที่ๆตัวเองไม่ยอมรับว่าอัดแน่นพร้อมจะแตกแล้วทุกเมื่อ ถ้ามัวแต่มองย้อนกลับไป ก็เดินก้าวใหม่ไม่ได้สักทีนั่นแหละ

เก๊ป พระเอก ใน Little Manhattan (2005) นั่งคั่นกลางระหว่างพ่อแม่ที่ระหองระแหงแต่ยังไม่หย่ากัน

ของสะสมของลูซี่เป็นดาบสองคมที่แม้จะสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง แต่ก็เป็น ‘ขยะ’ กวนตากวนใจ(คนรอบข้างและ)ในความคิดเธอ (เราชอบการใช้คำว่า crap vs. collectible มาชนกันของหนัง) ถึงจะเป็นหลักฐานที่แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นเคยเกิดขึ้น

The Broken Hearts Gallery ทำให้เรานึกถึง Museum of Broken Relationships ที่มีอยู่จริงในโครเอเชีย ที่ๆคนนำสิ่งของจากคนรักเก่าไปทิ้งไว้จริงๆ

สิ่งที่เราประทับใจมากที่สุดในหนังคือ ‘ชื่อ’ ของนางเอก ซึ่งคงไม่ได้สะกิดใจถ้าพระเอกไม่บ่นขึ้นมาในฉากที่โรงแรมของเขาไม่ได้รับทุนให้สร้างต่อประมาณว่า นี่คือชีวิตจริง อย่าฝันว่าจะเข้าไปซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าแล้วอธิษฐานแรงๆเลย

การกล่าวถึง ‘ตู้เก็บของ (closet) บวกกับชื่อ ‘ลูชี่’ ของนางเอก คือการอ้างอิงถึงตัวละครชื่อเดียวกันในวรรณกรรมเด็ก The Chronicles of Narnia (1950–1956) นาร์เนีย โดยนักเขียนอังกฤษซี. เอส. ลูอิส (C.S. Lewis) ซึ่งในหนังสือเล่มแรก The Lion, The Witch, and the Wardrobe (1950, หนังปี 2005) น้องสาวคนเล็กสุดอย่างลูซี่ไปซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าแล้วก้าวหลังกลับไปพบดินแดนมหัศจรรย์นาร์เนียก่อนใครเพื่อน

ลูซี่กับตู้เสื้อผ้าใน The Lion, The Witch, and the Wardrobe (2005)

หนังวนกลับมาประเด็นเรื่อง ‘ตู้สมมติ’ ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้า พยายามดึงลูซี่ ‘กลับ’ จากดินแดนในจินตนาการสู่ความจริงแห่งปัจจุบันและเตือนเธอให้ ‘ก้าวหน้า’ แทนที่จะ ‘ก้าวหลัง’ กลับไปสู่อดีต

โดยรวมและช่วงท้ายๆหนังดำเนินตามสูตรสำเร็จรอมคอมทั่วไปที่ปัญหาแก้ไขได้ทันเวลา และสิ่งที่นางเอกเรียนรู้จากปากเจ้านาย(เก่า)หรือผู้หญิงที่เธอชื่นชมมากที่สุดอย่างเรื่องว่าการตัดสินใจจะเลือกรักและปล่อยใครสักคนทำให้เธอเป็นตัวเธอในวันนี้นั้นไม่ใช่อะไรใหม่และล้วนเป็นประเด็นที่เราเคยถกไปก่อนหน้าในการวิเคราะห์หนังเรื่องอื่นๆที่ผ่านมาแล้ว

หนังปิดด้วยเพลงคึกคัก Woman Like Me (2018) ของ Little Mix ที่เปิดมาด้วยประโยคบอกกันตรงๆว่า คงใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจฉันนะ (It takes a little while to figure me out…) และกล่าวถึงหญิงสาวที่อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘เขา’ จะ(ตกหลุม)รักผู้หญิงอย่างเธอหรือตัวเธออย่างที่เธอเป็นได้หรือไม่ เพราะเธอเอง ‘มั่น’ ใจในความเป็นเธออยู่แล้ว ถือเป็นเพลงเปิด ‘บท’ ใหม่ของลูซี่ได้ดีทีเดียว

Woman Like Me (2018) — Little Mix

ไม่ว่าคุณจะยังจะพยายามจัดการสัมภาระทางใจหรือสัมภาระที่มีตัวตนจริง (metaphorical or physical burden) ที่เกี่ยวข้องกับสัมภาระในใจ หรือไม่ก็ตาม เราขอเป็นหนึ่งกำลังใจที่เอาใจช่วยให้คุณ ‘จัดวาง’ พื้นที่ใน ‘ตู้เก็บของ’ วางความทรงจำที่เคยมีและเป็นอดีตไปแล้วของคุณได้ในเร็ววันนะคะ♡

--

--

No responses yet